ศูนย์ช่วยเหลือสิทธิมนุษยชนสำหรับชาวต่างชาติจังหวัดคยองกี
(ผู้อำนวยการ โอ คยองซอก) จัดคณะกรรมการไกล่เกลี่ยด้านการสื่อสาร
ความหลากหลายครั้งที่ 2 (ประธานกรรมการ
อี จองโฮ) เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา
และไกล่เกลี่ย กรณีความขัดแย้ง 6 กรณี ระหว่าง ชาวเกาหลีและชาวต่างชาติที่เกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมและขาดการสื่อสาร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 กรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจาก
ระบบการเรียกเก็บภาษีเบี้ยประกันสุขภาพที่ไม่ยุติธรรม โดยได้เรียกร้องให้สถาบันที่เกี่ยวข้องปรับปรุงระบบ
ปัญหาการเปลี่ยนสมาชิกประกันสุขภาพในท้องถิ่น
นาย A แรงงานชาวต่างชาติชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานให้กับบริษัทการผลิตแห่งหนึ่งในเมืองซีฮึง
ออกจากงานเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ตั้งแต่ปี 2019
เป็นต้นมา ชาวต่างชาติก็ต้องสมัครประกันสุขภาพภาคบังคับ ดังนั้นนาย A จึงเปลี่ยนมาเป็นสมาชิกประกันสุขภาพในท้องถิ่น โดยอัตโนมัติทันทีที่เขาออกจากบริษัท
ปัญหาก็คือเบี้ยประกันสุขภาพของสมาชิกในท้องถิ่นนั้นสูงกว่าของสมาชิกที่สมัครในที่ทำงาน
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่แรงงานชาวต่างชาติที่ว่างงาน จะจ่ายต่อไปได้
ดังนั้นจึงมีกรณีต่อเนื่องที่แรงงานชาวต่างชาติจำนวนมาก
รวมทั้งนาย A ค้างชำระเบี้ยประกันสุขภาพ
หากชาวต่างชาติไม่ชำระเบี้ย ประกันสุขภาพการขยายสถานะการพำนักก็จะถูกจำกัดด้วย และมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียสถานะการพำนัก
แน่นอนว่ารัฐบาลและบริษัทประกันสุขภาพแห่งชาติตระหนักถึงปัญหานี้
และกำลังดำเนินการระบบสำหรับการลงทะเบียนอย่างต่อเนื่อง โดยสมัครใจสำหรับผู้สมัครประกันในที่ทำงาน
เพื่อให้ผู้สมัครประกันในที่ทำงานสามารถรักษาคุณสมบัติไว้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากออกจากบริษัทไปแล้วก็ตาม
ระบบนี้เป็นระบบที่ผู้สมัครประกันในที่ทำงานต้องจ่ายเพียง
50% ของเบี้ยประกันสุขภาพของตน ในขณะที่ยังคงสถานะการจ้างงาน ไว้เป็นเวลา
3 ปี แม้ว่าจะลาออกจากบริษัทแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตาม
เป็นเรื่องยากสำหรับแรงงานชาวต่างชาติที่จะรับทราบ เนื่องจากจดหมายส่วนใหญ่ส่งไปที่หอพักของบริษัทที่ลาออกไปแล้ว
จะมีแรงงานชาวต่างชาติสักกี่คนที่สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหน
และเปลี่ยนที่อยู่หลังจากออกจากบริษัทได้ อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น
สมาชิกที่เข้าร่วมคณะกรรมการไกล่เกลี่ยด้านการสื่อสารความหลากหลายครั้งที่ 2 ได้กระจายประกาศเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ ผ่านทางข้อความ SNS และ Kakao Talk ตลอดจนประกาศทางไปรษณีย์
และเห็นพ้องกันว่าต้องปรับปรุงระบบเพื่อให้สามารถให้ข้อมูล ที่เกี่ยวข้องได้ที่ศูนย์สนับสนุนการจ้างงาน
ซึ่งแรงงานชาวต่างชาติที่กำลังมองหางานเข้าเยี่ยมชมบ่อยครั้ง
ปัญหาการเรียกเก็บประกันการพักฟื้นระยะยาว
นาย H สัญชาติเวียดนาม และนาย S สัญชาติเนปาล
เป็นแรงงานชาวต่างชาติที่ทำงานในบริษัทผู้ผลิตในเมืองอันซาน เมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาเพิ่งทราบว่า
เบี้ยประกันการพักฟื้นระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุมักจะรวมอยู่ในค่าประกันสุขภาพที่ชำระรายเดือนอีกด้วย
แต่นี่เป็น ประกันที่คนอายุ 65 ปี ขึ้นไปเท่านั้นที่จะได้รับผลประโยชน์
แรงงานชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศเกาหลีภายใต้ระบบใบอนุญาตการจ้างงาน
(E-9) สามารถพำนักได้ไม่เกิน 9 ปี 8 เดือน ดังนั้นแรงงานชาวต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่วัย 20 - 30 ปี จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากการประกันนี้ตั้งแต่เริ่มแรก
บาทหลวง ชเว คยองซิก(ศูนย์โกลบอลมิชชั่น) ผู้ที่เข้าร่วมคณะกรรมการไกล่เกลี่ยด้านการสื่อสารความหลากหลายในนามของทั้งสองคน
กล่าวว่า “พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินทางออกนอกประเทศก่อนอายุ
65 ปี แต่เมื่อถามเขาว่าทำไมต้องจ่ายเบี้ยประกัน ทุกเดือน พวกเขากลับไม่พูดอะไรเลย”
และเผยว่า “แรงงานชาวต่างชาติควรได้รับการยกเว้นจากการเรียกเก็บเบี้ยประกันการพักฟื้นระยะยาว
สำหรับผู้สูงอายุ และควรเข้าร่วมในกรณีที่ต้องการเท่านั้น”
แน่นอนว่า
หากแรงงานชาวต่างชาติยื่นขอยกเว้นประกันการพักฟื้นระยะยาวผ่านบริษัท การจัดเก็บภาษีจะหยุดทันทีแต่มีเพียงไม่กี่บริษัท
ที่ทราบเรื่องนี้ และแรงงานชาวต่างชาติแทบไม่มีทางรู้ได้เลย
แม้ว่าท่านจะทราบดีและขอยกเว้น
แต่ท่านจะไม่ได้รับเงินคืนสำหรับเบี้ยประกันที่จ่ายไปก่อนหน้านี้
สมาชิกของคณะกรรมการไกล่เกลี่ยด้านการสื่อสารความหลากหลายเห็นพ้องต้องกันว่าต้องปรับปรุงระบบ
โดยกล่าวว่า “หากการเปลี่ยนเป็น สมาชิกโดยความสมัครใจเป็นเรื่องยาก ก็ควรจะได้รับเงินคืนเมื่อเดินทางออกนอกประเทศก่อนอายุ
65 ปี”
หัวหน้าทีม
คิม แด-กวอน ศูนย์ช่วยเหลือสิทธิมนุษยชนสำหรับชาวต่างชาติจังหวัดคยองกีกล่าวว่า “ความขัดแย้งมากมายที่เกิดขึ้นระหว่าง
ชาวเกาหลีและชาวต่างชาติเกิดจากการขาดความเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและขาดการสื่อสาร”
และเผยว่า “ในอนาคต เราจะพยายามไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างชาวเกาหลีและชาวต่างชาติ
รวมทั้งเสริมสร้างการสื่อสารผ่านคณะกรรมการไกล่เกลี่ย
การสื่อสารที่หลากหลาย”
นักข่าว ซง ฮาซอง
댓글을 작성하기 위해서는 로그인이 필요합니다
댓글
0